“โอบามา” จะใช้อำนาจ “วีโต้” ร่าง กม.เปิดทางครอบครัวเหยื่อ 9/11 ฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก รบ.ซาอุฯ

“คงจินตนาการได้ไม่ยากว่าประเทศอื่นๆ อาจใช้กฎหมายนี้เป็นช่องทางยื่นฟ้องนักการทูตสหรัฐฯ ทหารอเมริกัน หรือแม้กระทั่งบริษัทสัญชาติอเมริกัน ต่อศาลต่างๆ ทั่วโลก” จอช เออร์เนสต์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงต่อสื่อมวลชน

“ผมคาดว่าประธานาธิบดีจะใช้สิทธิวีโต้เมื่อร่างกฎหมายนี้ถูกส่งไปถึงมือท่าน”

สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ โหวตอนุมัติร่างกฎหมายนี้อย่างเป็นเอกฉันท์เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (9) หลังจากวุฒิสภาได้ให้ไฟเขียวไปตั้งแต่เดือน พ.ค. ขั้นตอนหลังจากนี้จึงขึ้นอยู่กับโอบามา ว่าจะลงนามรับรอง หรือใช้สิทธิยับยั้ง

เจ้าหน้าที่ประจำรัฐสภาชี้ว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้รับเสียงสนับสนุนถึง 2 ใน 3 จากทั้งสองสภา มากพอที่จะหักล้างอำนาจวีโต้ที่โอบามาจะใช้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในปี 2009

อย่างไรก็ดี ยังไม่แน่ว่าการโหวตนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อใด เนื่องจากวุฒิสภาได้เสนอร่างกฎหมายไปยังโอบามา เมื่อค่ำวันจันทร์ (12) และประธานาธิบดีมีเวลา 10 วันที่จะใช้อำนาจ “วีโต้” (ถึงวันที่ 23 ก.ย.) ก่อนที่ร่างกฎหมายจะมีผลบังคับโดยอัตโนมัติ ทว่า วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรคาดว่าจะปิดสมัยประชุมภายในสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า หลังจากนั้นสภาคองเกรสจะไม่มีการเปิดประชุมอีกจนกว่าจะผ่านพ้นวันเลือกตั้งประธานาธิบดี 8 พ.ย.ไปแล้ว

โอบามา มีเวลา 10 วันที่จะวีโต้ร่างกฎหมายตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และยังสามารถยับยั้งโดยเก็บเรื่องไว้ชั่วคราว (pocket veto) จนกระทั่งปิดสมัยประชุม

แม้ผู้ก่อการร้าย 15 คน จากทั้งหมด 19 คนที่ร่วมกันจี้เครื่องบินโดยสารของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 11 ก.ย.ปี 2001 จะเป็นพลเมืองซาอุฯ แต่ที่ผ่านมายังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าริยาดให้ทุนสนับสนุน หรือสมคบคิดกับพวกอัลกออิดะห์ และยังไม่เคยมีการกล่าวหารัฐบาลซาอุฯ อย่างเป็นทางการด้วย

เมื่อเดือน ก.พ. ซาคาเรียส มุสซาวี (Zacarias Moussaoui) ซึ่งถูกระบุเป็นผู้ต้องหาจี้เครื่องบินคนที่ 20 ได้บอกกับทนายในสหรัฐฯ ว่า สมาชิกราชวงศ์ซาอุฯ บริจาคเงินหลายล้านดอลลาร์ให้แก่อัลกออิดะห์ในช่วงทศวรรษ 1990

ที่มา:Manager Online